นายหู หวังหมิง ประธานบริษัทไชน่า เป่าอู่ สตีล กรุ๊ป คอร์ป (China Baowu Steel Group Corp) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก เตือนว่าอุตสาหกรรมเหล็กของจีนกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่รุนแรงมากกว่าภาวะชะลอตัวที่เคยเกิดขึ้นในปี 2551 และ 2558 โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่อุตสาหกรรมเหล็กจะต้องรักษาเงินสดเอาไว้ และระบุว่าสถานการณ์ในขณะนี้เป็นเหมือนกับ “ฤดูหนาวที่รุนแรง”
นายหูกล่าวในการประชุมรอบครึ่งปีของบริษัทว่า “วิกฤตการณ์ครั้งนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นเวลานาน และจะทำให้อุตสาหกรรมเหล็กเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้”
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ตลาดเหล็กของจีนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั้น กำลังส่งสัญญาณเตือนหลายด้าน เนื่องจากการทรุดตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์และกิจกรรมในภาคการผลิตที่อ่อนแอลงได้ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศในปีนี้ โดยราคาเหล็กร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปี และโรงงานถลุงเหล็กประสบปัญหาขาดทุน
ทั้งนี้ บริษัทไชน่า เป่าอู่ สตีล เพียงแห่งเดียวสามารถผลิตเหล็กในสัดส่วน 7% ของการผลิตเหล็กทั่วโลก และการส่งสัญญาณที่จริงจังของนายหูอาจจะสร้างความกังวลให้กับบรรดาบริษัทคู่แข่งทั่วเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ในขณะที่บริษัทเหล่านี้กำลังเผชิญกับการที่จีนส่งออกเหล็กล็อตใหม่ในปริมาณมาก
อุตสาหกรรมเหล็กของจีนประสบกับภาวะซบเซาอย่างรุนแรงในช่วงวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis) ในปี 2551-2552 และเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2558-2559 โดยวิกฤตการณ์ทั้งสองนั้นได้รับการแก้ไขด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ แต่สำหรับในปี 2567 การใช้มาตรการดังกล่าวดูเหมือนจะมีโอกาสน้อยลง เนื่องจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
คำเตือนของประธานบริษัทไชน่า เป่าอู่ สตีล เป็นการตอกย้ำถึงภาวะซบเซาในตลาดเหล็ก โดยราคาแร่เหล็ก ซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์หลักที่ใช้ในการผลิตเหล็ก ร่วงหลุดจากระดับ 100 ดอลลาร์/ตัน โดยสัญญาแร่เหล็กในตลาดล่วงหน้าดิ่งลง 1.7% แตะระดับ 96.85 ดอลลาร์/ตันในวันนี้ ส่งผลให้ราคาแร่เหล็กในปีนี้ทรุดตัวลงไปแล้วกว่า 30%